ชนิดของสายส่งสัญญาณ
- aksboon9
- 9 เม.ย. 2560
- ยาว 2 นาที
อัปเดตเมื่อ 30 ธ.ค. 2563

สายนำสัญญาณสามารถแบ่งได้หลายขนิดตามคุณสมบัติ หรือ วัสดุ ซึ่งบอแบ่งออกได้ใหญ่ๆ 2ชนิดคือ
1.สายนำสัญญาณแบบบาลานซ์ balanc เป็นสายนำสัญญาณประเภทที่มีตัวนำสองเส้นวางคู่ขนานกันไป โดยที่มีฉนวน หรือ ไดอิเล็กทริกเป็นตัวขั้นกลาง สัญญาณในตัวนำทั้งสองจะมีค่ากระแสเท่ากันทั้ง 2 เส้น แต่มีเฟสต่างกัน 180 องศาและไม่มีส่วนใดต่อลงกราวน์ของระบบ ส่วนใหญ่ที่เราเห็นและมักคุ้นเคยกัน ก็คือสายนำสัญญาณชนิดแบน 300 โอมห์ ที่นิยมใช้ติดตั้งกับระบบโทรทัศน์ สายนำสัญญาณประเภทนี้มีการรบกวนจากสัญญาณอื่นได้ง่าย เพราะไม่มีส่วนในการห่อหุ้มที่เป็นส่วนป้องการการรบกวน หรือการแพร่กระจายคลื่นออก
2.สายนำสัญญาณแบบอันบาลานซ์ เป็นสายนำสัญญาณที่เป็นส่วนของ สัญญาณ และส่วนของกราวด์ ที่พบเห็นและเกี่ยวข้องกับวิทยุสมัครเล่นก็คือ สายโคแอคเชียล คือสายนำสัญญาณ ที่เป็นตัวนำอยู่ตรงกลาง และมีส่วนของชีลด์เป็นตัวนำห่อหุ้มอยู่ในลักษณะทรงกระบอก โดยมีฉนวนหรือไดอิเล็กทริก ระหว่างกลางตัวนำทั้งสอง คุณสมบัติของสายนำสัญญาณประเภทนี้ คือ ในส่วนของ ชีลด์สามารถป้องกันสัญญาณรบกวนที่จะเข้ารบกวนในส่วนสัญญาณได้ และสามารถป้องกันการแพร่กระจายคลื่นที่เล็ดลอดออกมาจากสายนำสัญญาณได้
สายนำสัญญาณในระบบเสียง
1.สายสัญญาณแบบ Balance
สายสัญญาณแบบ Balance ข้างในประกอบไปด้วย สาย 3 เส้น ได้แก่ Ground(Shield) สัญญาณบวก (Hot) และ สัญญาณลบ(Cold)
Ground เป็นสาย Shield ที่พันล้อมรอบสายสัญญาณ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
สายสัญญาณ บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณจากอุปกรณ์
สายสัญญาณ ลบ เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่ง ” สัญญาณเดียวกันกับสายสัญญาณ บวก ” แต่!!! กลับเฟส (180 องศา)
ซึ่งการทำงานของสาย Balance คือ เมื่อป้อนสัญญาณผ่านสายสัญญาณ Balance จะทำให้ Noise หรือเสียงรบกวนจากภายนอกกลับเฟสกัน แล้วหักล้างกัน จนเหลือแต่สัญญาณที่ป้อนไป ซึ่งเมื่อไปถึงปลายทาง อุปกรณ์ที่รับก็จะมีการออกแบบภายในให้กลับเฟสคืนเพื่อไม่ให้สัญญาณที่ป้อนไปหักล้างกัน และผลที่ได้คือสัญญาณที่ป้อนไปหลังกลับเฟสคืนนั้น จะเสริมกันเป็น 2 เท่า อธิบายด้วยสมการไฟฟ้า ดังนี้
Output = (สัญญาณบวก+Noise)-(-สัญญาณลบ+Noise) = [สัญญาณบวก-(-สัญญาณลบ)]+[Noise-Noise] = ผลรวมของสัญญาณบวกและลบ (2 เท่าของสัญญาณที่ป้อนไป)
ประเภทของสาย Balance มี 2 แบบที่เห็นบ่อย ๆ
XLR มีทั้งตัวผู้และตัวเมีย บางท่านเรียกปลั๊กแจ๊คแบบนี้ว่า แคนนอล (EXTRA LOW RESISTANCE) คือ สัญญาณที่มีความต้านทานค่อนข้างต่ำมาก จึงเป็นผลทำให้สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกลๆ และมีสัญญาณรบกวนต่ำ โดยขาต่างๆ ปัจจุบันที่เชื่อมต่อกันเป็นมาตรฐานสากล
TRS
(แจ็ค 6.3 mm. หรือ TIP RING SHEEVE) ซึ่งหมายถึง จุด ต่อสามจุดของแจ็คแบบ TRS โดย TIP จะเปรียบเสมือน ขาที่ 2 ของแจ็ค XLR, RING จะเหมือน ขาที่ 3 ของแจ็ค XLR และ SHEEVE จะเหมือนกับ ขาที่ 1 ของแจ็ค XLR
ประเภทการใช้งาน
XLR ใช้กับไมโครโฟน, อุปกรณ์ที่ Output เป็น Balance, ลำโพงสตูดิโอมอนิเตอร์
TRS ใช้กับ Output ของ Audio Interface, อุปกรณ์ที่ Output เป็น Balance, ลำโพงสตูดิโอมอนิเตอร์
ข้อดี
สามารถเดินสายสัญญาณได้ไกลโดยไม่มีสัญญาณรบกวน
ข้อเสีย
ต้นทุนการผลิตแพงกว่า Unbalance
--------------------------------------------------------------------
2.สายสัญญาณแบบ Unbalance
สายสัญญาณแบบ Unbalance ข้างในประกอบไปด้วย สาย 2 เส้น ได้แก่ Ground(Shield) และสัญญาณบวก (Hot)
Ground เป็นสาย Shield ที่พันล้อมรอบสายสัญญาณ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
สายสัญญาณ บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณจากอุปกรณ์
หลักการทำงานก็ไม่ได้ซับซ้อนแบบ Balance คือสายสัญญาณ บวก เป็นสายสัญญาณที่ใช้ส่งสัญญาณจากอุปกรณ์ Ground เป็นสาย Shield ที่พันล้อมรอบสายสัญญาณ เพื่อป้องกันสัญญาณรบกวน
มารู้จักกับ สายโคเอ๊กเชี่ยล (Coaxial Cable)
สาย Coaxial ชนิดต่างๆ
โครงสร้างของสายโคเอกซ์
1 คือ สายทองแดงเป็นแกนกลาง จะเป็นส่วนทที่นำสัญญาณข้อมูล
2 คือ ฟรอยด์หุ้มสัญญาณรบกวน
3 คือ สายนำสัญญาณกราวด์ มีลักษณะเป็นใยโลหะถักเปียหุ้ม
4 คือ ฉนวน จะเป็นวัสดุที่ป้องกันสายสัญญาณ
ถึงแม้ว่าส่วนใหญ่โคแอ็กซ์จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็แบ่งออกได้หลายประเภทขึ้นอยู่กับชนิดของเครือข่ายที่ใช้ สายโคแอ็กซ์จะถูกแยกเป็นประเภทต่าง ๆ โดยใช้มาตรา RG (Radio Grade Scale) สายโคแอ็กซ์ที่นิยมกันใช้มากที่สุดมีค่าความต้านทานที่ 75 โอห์ม อย่างเช่น RG6/U ส่วนใหญ่จะใช้เป็นสายสัญญาณโทรทัศน์ซึ่งจะมีทั้งสีดำและสีขาวนอกจากนี้ก็ใช้ในการติดตั้งระบบเคเบิ้ลทีวี ส่วนสายอีกชนิดหนึ่งจะเป็นสายโคแอ็กซ์แบบ RG-58/U จะใช้ได้กับ ซึ่งมีค่าความต้านทานที่ 50 โอห์ม ซึ่งส่วนใหญ่ที่นิยมใช้กันมากจะอยู่ในวงการวิทยุสื่อสาร
สายโคแอ็กซ์แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. สายโคแอ็กซ์แบบบาง (Thin Coaxial Cable)
2. สายโคแอ็กซ์แบบหนา (Thick Coaxial Cable)
หัวเชื่อมต่อที่ใช้กับสายโคแอ็กซ์
ทั้งสายแบบ Thinnet และ Thicknet จะใช้หัวเชื่อมต่อชนิดเดียวกัน ที่เรียกว่าหัว BNC ซึ่งใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณละเน็ตเวิร์คการ์ด หัวเชื่อมต่อแบบ BNC นี้มีหลายแบบดังต่อไปนี้
1. หัวเชื่อมสาย BNC (BNC Cable Connector) เป็นหัวที่เชื่อมเข้ากับปลายสาย ดังแสดงในรูปที่ 1
2. หัวเชื่อมสายรูปตัว T (BNC T-Connector) เป็นหัวที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสายสัญญาณกับเน็ตเวิร์คการ์ด
3. หัวเชื่อมสายแบบ Barrel (BNC Barrel Connector) เป็นหัวที่ใช้ในการเชื่อมต่อสายสัญญาณเพื่อให้สายมีขนาดยาวขึ้น
4. ตัวสิ้นสุดสัญญาณ (BNC Terminator) เป็นหัวที่ใช้ในการสิ้นสุดสัญญาณที่ปลายสายเพื่อเป็นการสิ้นสุดสัญญาณไม่ให้สะท้อนกลับ ถ้าไม่อย่างนั้นสัญญาณจะสะท้อนกลับทำให้รบกวนสัญญาณที่ใช้นำข้อมูลจริง ซึ่งจะทำให้เครือข่ายล้มเหลวในที่สุด

1 คือ BNC T-Connector เป็นตัวต่อและตัวขยายเพื่อนำสัญญาณไปใช้เพิ่มเติม 2 คือ Connector 3 way เป็นตัวแยก 3 ทางอีกชนิดหนึ่ง จะใช้กับ TWIST TYPE หรือ F TYPE 3 คือ BNC to RCA เป็นตัวแปลงสัญญาณจากขั้ว BNC ไปเป็นขั้ว RCA
4 คือ TWIST TYPE ใช้ร่วมกับตัวแยก หรือตัวต่อตรง เพื่อเพิ่มความยาวของสาย หรือแยกสัญญาณ สายโคแอ็กซ์ยังแบ่งออกเป็น 2 เกรด แล้วแต่การใช้งาน 1. สายโคแอ็กซ์เกรด PVC สายประเภทนี้จะใช้พลาสติกเป็นวัสดุห่อหุ้ม เป็นสายชนิดที่ใช้ในสำนักงาน เพราะเป็นสายที่มีความยืดหยุ่นมาก แต่เมื่อติดไฟจะทำให้เกิดแก๊สที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ 2. สายโคแอ็กซ์เกรด Plenum เป็นสายที่ใช้ติดตั้งเพดาน หรือระหว่างชั้น หรือพื้นที่มีอุณหภูมิต่างจากอุณหภูมิห้อง เพราะเป็นสายคแอ็กซ์เกรดนี้จะทนไฟ และถ้าไฟไหม้สาย แก๊สที่เกิดขึ้นก็ไม่เป็นอันตรายมากนัก


Comments